“ความคาดหวัง” อาวุธร้ายทำลายลูก
“งานเลี้ยงลูกของบิดามารดาเปรียบเสมือนงานปั้นพระของศิลปิน ต้องทุ่มเททั้งชีวิต ผลสัมฤทธิ์จึงจะออกมาดั่งที่ปรารถนา หมายความว่า เป็นงานที่ต้องเลี้ยงกันด้วยความละเมียดละไม ใส่ใจทุกรายละเอียด ซึ่งศิลปินที่จะประสบความสำเร็จในการปั้นพระ เขาก็ต้องเรียนรู้ก่อน จากนั้นต้องมีจิตใจที่งดงามล้ำเลิศ พระที่ปั้นจึงจะงดงามจริงๆ ที่สำคัญ ต้องให้เวลากับงานปั้นจริง ๆ” นี่คือคำกล่าวของ ท่าน ว.วชิรเมธี
สิ่งที่ท่าน ว.วชิระเมธี ได้กล่าวไว้นั้นเป็นความจริงแท้ ด้วยพ่อแม่นั้นเมื่อให้กำเนิดบุตรแล้วต่างก็ตั้งความหวังไว้ให้เป็นที่พึ่งพายามแก่ชรา วาดหวังว่าลูกนั้นจะเป็นคนดีเป็นคนเก่งและเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต โดยพยายามวางแผนและขีดเส้นให้ลูกนั้นเดินไปตามอย่างที่ตนคาดหวัง กำหนดทุกอย่างในชีวิตลูกให้เป็นไปตามความตั้งใจของตน จนบางครั้งความรักและความหวังดีทุกอย่างที่พ่อแม่พยายามทำกลับกลายเป็นดาบที่ฟาดฟันลูกตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เพราะอย่าลืมว่าลูกของเราไม่ใช่อิฐ หิน ปูน ทราย ที่อยากจะปั้นเสริมเติมแต่งตรงไหนหรืออย่างไรก็ได้ แต่ลูกเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความคิดความรู้สึกเป็นของตัวเอง รู้สึกได้ คิดเองได้ และมีสิทธิ์เลือกทางเดินในชีวิตของตนเอง
ผลงานวิจัยของ Gail Heyman ตีพิมพ์ในวารสาร Psychology Today ได้กล่าวไว้ว่าความคาดหวังของคุณพ่อคุณแม่ทำให้ลูกกดดันและเกิดความเครียด และเป็นสาเหตุให้ลูกโกงข้อสอบ และยังมีงานวิจัยในประเทศจีนนักวิจัยสำรวจเด็ก 300 คนอายุระหว่าง 3-5 ขวบ แบ่งเด็กออกเป็นสามกลุ่มโดยใช้วิธีแบบสุ่ม กลุ่มแรกคุณครูบอกกับเด็กว่า ‘นักเรียนเป็นเด็กฉลาด’ กลุ่มสองคุณครูบอกกับเด็กว่า ‘นักเรียนเป็นเด็กเก่ง’ และกลุ่มที่สามคุณครูไม่ได้กล่าวชื่นชม ผลงานวิจัยพบว่าความคาดหวังที่คุณครูบอกกับนักเรียน เป็นแรงกระตุ้นให้เด็กๆ ทำความผิดและโกงเพราะไม่อยากให้คุณครูผิดหวัง ทั้งสองงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าเด็ก ๆ นั้นยอมให้พ่อแม่หรือคุณครูนั้นโกรธได้แต่ไม่ยอมให้ผิดหวังในตัวเอง ยอมเป็นคนที่โกงข้อสอบมากกว่าเป็นคนที่สอบตก สะท้อนว่าเด็ก ๆ นั้นเกิดความกดดันที่ต้องแบกความคาดหวังของทุกคนไว้
ทั้งหมดจะด้วยความรักก็ดีความหวังดีก็ดี สิ่งเหล่านี้กลายเป็นความกดดันที่เด็กตัวเล็ก ๆ ต้องแบกมันเอาไว้ ส่งผลให้เด็กหลายคนมีความสุขในวัยเด็กลดลงและเด็กอีกหลายคนยอมทำความผิดเพียงเพื่อต้องการนำความสำเร็จมาสู่คนที่คาดหวังกับตัวเขา ความหวังที่อยากเห็นลูกมีอนาคตที่ดี พ่อแม่ทุกคนต่างก็คาดหวังในตัวลูกทุกคน แต่ก็ควรอยู่บนความพอดีที่ไม่เป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม การเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น ๆ ที่เหนือกว่าในบางด้านนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เหมือนกับที่เราไม่อาจสอนปลาให้บินได้ฉันใด เราก็ไม่อาจใช้ความสามารถของเด็กคนหนึ่งมาตัดสินเด็กอีกคนได้ฉันนั้น ทุกคนบนโลกนี้เกิดมาต่างก็มีความพิเศษแตกต่างกันไป พ่อแม่เองต้องเป็นคนแรก ๆ ที่มองเห็นความพิเศษนั้น อย่าคิดว่าลูกของเราต้องเก่งหรือเหนือกว่าคนนั้นคนนี้ ลองย้อนกลับมามองลูกเราว่าถนัดอะไร แล้วส่งเสริมด้านนั้นอาจจะทำให้ลูกมีความสุขมากกว่า เมื่อมีความสุขแล้วก็ย่อมชอบที่จะทำมันซ้ำ ๆ และนั่นคือสิ่งที่เป็นความอัจฉริยะของลูกซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร พ่อแม่ลองสังเกตดูว่าเมื่อเราไม่บังคับลูก รับฟังทุกปัญหาและพร้อมอยู่เคียงข้างโดยไม่ก้าวก่ายในการตัดสินใจของเขา เด็ก ๆ ก็มักจะเปิดใจเล่าเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา และนั่นจะทำให้เราได้เห็นว่าลูกของเราเป็นคนเช่นไร มีวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้หรือไม่ หากลองแล้วแก้ไม่ได้เราก็อาจช่วยแนะนำให้เขาลองใช้วิธีของเรา แต่ไม่ได้บังคับว่าต้องทำตามเรา ให้ตัวเด็กมีสิทธิ์เลือกว่าจะเลือกทำอย่างไรกับปัญหานั้น
การสอนให้ลูกรู้จักจัดการปัญหาด้วยตัวเอง แม้บทสรุปแล้วลูกจะแก้ได้หรือไม่ได้จะผิดหวังหรือสมหวังนั่นคือการเรียนรู้ก่อนเข้าสู่ชีวิตจริง การถูกฝึกให้คิด ฝึกให้แก้ไขปัญหาเองตั้งแต่เด็ก เป็นการสร้างประสบการณ์จริงให้กับเด็กเพราะในชีวิตจริงไม่มีใครสมหวังไปทุกอย่าง ดีไปทุกเรื่อง ความสุขและความทุกข์ล้วนเป็นสิ่งที่มาคู่กันเสมอ หากลูกไม่รู้จักความทุกข์เกิดมาก็สุขสมหวังไปเสียทุกเรื่อง เพราะพ่อแม่จัดการไว้ให้ทุกอย่าง เพราะพ่อแม่นั้นวางแผนไปเสียทุกเรื่อง เมื่อวันหนึ่งที่ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วรับมือกับความทุกข์ที่เข้ามาในชีวิตไม่ได้ ตอนนั้นความรุนแรงของปัญหาที่เกิดย่อมรุนแรงมากนัก หากรอจนถึงวันนั้นบางทีพ่อแม่อาจจะต้องเสียใจที่เลี้ยงลูกมาแบบนั้น
ดังนั้นปัญหาสังคมส่วนใหญ่จึงมักมีจุดเริ่มต้นที่สถาบันครอบครัว เมื่อใดก็ตามที่สถาบันพื้นฐานนี้มีปัญหา ก็จะพบว่าสังคมก็มักมีปัญหาเช่นกัน พ่อแม่ผู้ปกครองจึงเป็นส่วนสำคัญในการหล่อหลอมเด็กคนหนึ่งขึ้นมา อย่าให้ความคาดหวังของเราทำร้ายอีกคนที่เรารักและมีแต่ความปรารถนาดีให้เขา จงใช้ความรักที่มีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในหัวใจเขา ให้เขาได้มั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามครอบครัวยังคงยืนอยู่ข้างเขาเสมอ